หนังสือ 8 เล่มที่ควรอ่านก่อนอายุ 30

1. กิบกบตัวนั้นซะ!

Eat That Frog! เป็นหนังสือที่โด่งดังที่สุดของไบรอัน เทรซี่ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Master of goal setting หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่หมดพลังในชีวิต เหนื่อยล้า ไม่มีไฟในชีวิต หรือคนที่มองภาพชีวิตตัวเองในอนาคตไม่ออก 

ซึ่ง “กบ” ในความหมายของ Brian Tracy คือกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตของคุณ ซึ่งกิจกรรมในชีวิตเรามีเรื่องที่สำคัญนับเป็น 20% ของชีวิต และเรื่องไม่สำคัญเป็น 80% ของชีวิตขึ่นอยู่กับว่าเราจะจัดการมันยังไง

หนังสือเล่มนี้สามารถช่วยคุณได้ คุณจะได้เรียนรู้ 21 เคล็ดลับการบริหารเวลาที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณกล้าวางแผน กล้าตั้งเป้าหมายและลงมือทำ กล้าเสี่ยงกลับเรื่องยากๆ ที่คุณผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายครั้ง ในหนังสือก็จะมีแบบฝึกหัดหลายๆอย่าง ให้เราลองทำ ลองคิดกับชีวิต จะช่วยให้คุณกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมและลุยและโฟกัสกับชีวิตอีกครั้งหนึ่ง 

เหมาะกับผู้ที่ต้องการคู่มือพัฒนาตนเองสูตรเข้มข้นในฉบับย่อ

เขียนโดย Brian Tracy

2. คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

The magic of Thinking เป็นหนังสือการสร้าง Mindset ให้เรามีความคิดทัศนคติที่ดี ทัศนคติของเรานั้นสำคัญและเป็นใหญ่ที่สุด เราจึงต้องพัฒนาเรื่องนี้ ซึ่งในหนังสือก็จะเล่าให้เห็นว่าเรามีจุดอ่อนแบบไหนที่ทำให้เรายังไม่สำเร็จในเรื่องนั้นๆ เพราะหลายคนก็จะมีสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า “ข้ออ้าง” ที่ทำให้เราไม่ยอมทำสิ่งที่เราต้องการ และกลัวว่าจะพบเจอปัญหาแบบนั้น จึงไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย ไม่ว่าจะข้ออ้างเรื่องของสุขภาพ ความฉลาด อายุหรือโชคลาภ ในหนังสือก็จะมีทริคฝึกคุณจากนิสัยและกิจวัตรประจำวันของคุณ เพิ่มความเชื่อมั่นและทลายความกลัวของคุณ ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณจะรักตัวเองมากขึ้น และคุณจะคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก มองเห็นอนาคตตัวเองรักตัวเองและในที่สุดคุณจะสามารถก้าวข้ามผ่านความกลัวนั้นไปได้

เขียนโดย DAVID.J SCHWARTZ 

3. The 4 Hour Workweek

“ทำน้อยแต่รวยมาก” เป็นหนังสือที่เปลี่ยนความคิดในการทำงานและการใช้ชีวิต หนังสือเล่มนี้ยังได้ให้คำนิยามของคำว่า “New Rich” หรือเศรษฐีแนวใหม่ ที่อาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ก็ "มีเงินและมีเวลา" ที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้อย่างมีความสุข เราจะเข้าใจถึงรากฐานของ Mindset ในการใชีชีวิต

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคน 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่ต้องการบริหารเวลาต้องการเพิ่ม productivity ในชีวิตและการทำงาน กลุ่มสองคือคนต้องการเป็นนายตัวเองที่ดำลังทำธุรกิจอยู่ หรือคนที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจคุณจะเห็นแนวทางมากมายของการสร้างระบบเพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น

เขียนโดย Tim Ferriss

4. อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ

เป็นหนังสือที่ คุณรวิศ หาญอุตสาหะ ทายาทรุ่นที่สามที่เข้ามาสืบทอดกิจการผงหอมศรีจันทร์ ผู้ที่ลงมือพลิกโฉมแบรนด์และรีแบรนด์ผงหอมศรีจันทร์ จนสามารถเปิดศักราชใหม่ให้กับวงการเครื่องสำอางในประเทศไทย ได้ถ่ายทอดเคล็ดลับและเทคนิคที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ตรงในชีวิตและการทำธุรกิจ รวมถึงหนังสือที่เขาได้อ่าน ให้อยู่ในรูปของวิธีคิดอันเรียบง่าย 36 วิธี ที่จะช่วยให้ออกเดินทางตามหาความสำเร็จได้เร็วขึ้น

หนังสือเล่มนี้จะช่วยกระตุ้นให้คุณพยายามค้นหา “วาฬ” ในตัวเองและหันกลับมาดูแลมันให้แข็งแกร่ง พอที่จะรับมือกับอนาคตที่กำลังมาถึง

*วาฬ* ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เรามีอยู่หรือความฝันที่เราต้องการ อย่าปล่อยให้งานปัจจุบันหรือใครมาทำให้ความคิดความฝันของเราหายไป 

เขียนโดย คุณรวิศ หาญอุตสาหะ

5. ใครเอาเนยแข็งของฉันไป

Who moved my cheese เป็นหนังสือเล่มเล็กอ่านง่ายเป็นหนังสือคลาสสิกที่นำมาอ่านเมื่อไหร่ก็สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้อยู่เสมอ เช่นเดียวกับปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้หลายคนต้องเจอกับวิกฤตและทำให้เนยแข็งของหลายคนหายไป 

ถ้าเรายึดติดกับเนยแข็งชิ้นเดิมที่มีอยู่ สักวันถ้าเนยแข็งชิ้นนั้นหายหรือหมดไปเราก็จะอยู่โดยไม่มีความสุขและไม่ทะเยอทยานหาความสุขใหม่มาแทนที่ หรือใช้ชีวิตแบบวนลูปกลับไปที่เดิม ทำให้เราพลาดโอกาสบางอย่างที่กำลังเข้ามาในชีวิตได้

แต่ถ้าวันนี้เรารู้ว่าเนยแข็งหายไปเราเสียใจได้ แต่เราต้องยอมรับเปลี่ยนแปลงให้ได้ เราจึงจะสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีความสุข โดยไม่ยึดติดกับเนยก้อนเดิมที่เคยมี เพราะเราต้องมีความเชื่อว่า "เราจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่มี เราจะสามารถยอมรับปรับตัวและหาเนยแข็งก้อนใหม่ที่ดีกว่าเดิม"

ผู้เขียน M.D. Spencer Johnson

6. ทำไมต้องเริ่มด้วย “ทำไม”

Start with Why เป็นหนังสือหมวดธุรกิจ เขียนโดย Simon Sinek เจ้าของ Ted Talk ชื่อดัง How great leaders inspire action ที่เขาพูดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบว่า  "ลูกค้าไม่ได้ตัดสินใจซื้อโดยดูว่าคุณทำอะไร แต่ดูว่าคุณทำสิ่งนั้นไปทำไมต่างหาก"

หนังสือเล่มนี้จะอธิบายว่าทำไม เราควรตั้งคำถามด้วยจุดมุ่งหมาย ก่อนที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายนั้นอย่างไรและค่อยคิดสิ่งที่ใช้ในการบรรลุวิธีนั้น

แก่นแท้ของการสื่อสารที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจเราจากภายในไปสู่ภายนอกได้ สื่อสารว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายที่บริษัททำสิ่งนั้นขึ้นมา และทำไมคนอื่นถึงต้องซื้อสิ่งๆนั้น ก่อนจะบอกว่าแล้วบริษัทแตกต่างจากคู่แข่งยังไงแล้งจึงปิดท้ายว่า อะไรคือสิ่งที่ตอบโจทย์จุดมุ่งหมายนั้นจึงจะสร้างความแตกต่างได้ 

เล่มนี้อ่านง่ายสบายๆ เหมาะสำหรับทุกคนที่ทำธุรกิจ เป็นผู้นำ ผู้บริหาร หรือใครก็ตามที่คิดจะลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่จริงๆ แล้วคนทุกคนควรได้อ่านเล่มนี้

เขียนโดย Simon Sine

7. 24 ชั่วโมงที่ดีเริ่มต้นตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณตื่น

เป็นเล่มที่อ่านสบายมีมุกตลกสอดแทรกอยู่ตลอดเล่ม เป็นหนังสือที่สอนให้เราลองปรับมุมมองให้ตัวเองคิดบวกบ้าง ในงานวิจัยของผู้เขียนเค้าพบว่ามีเพียง 2% ของคนทั้งหมดที่มีพลังบวกและรู้สึกยอดเยี่ยมกับชีวิตในทุกๆ วัน 

เพราะคนส่วนจะถูกเหล่า “มนุษย์ดูดอารมณ์” สร้างความหงุดหงิดทำให้คิดลบ เบื่อโลก และรู้สึกแย่สุดๆ กับชีวิตตัวเองเมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วไม่ว่าใครก็อยากจะเปลี่ยนตัวเองจากคนคิดลบเป็นคนคิดบวก และกลายเป็นคนที่มีพลังบวกแผ่ไปให้คนรอบข้าง เพื่อให้บรรยากาศที่อยู่ด้วยมันดีขึ้นบ้าง

เล่มนี้จะเสนอ 6 หลักการสอดแทรกในเนื้อหาเรื่องเล่าระหว่างพ่อและลูกอ่านแล้วรับลองเราจะเปลี่ยนเป็นคนที่มองโลกในอีกมุมที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย

เขียนโดย Andy Cope และ Andy Whittaker

8. วิธีพาตัวเองออกจาก “กล่อง” ใบเล็ก

เป็นหนังสือ How to ที่เอาไว้ใช้จัดการปัญหาเรื่อง ‘คน’ โดยเฉพาะ

เป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละครและฉากสมมุติในบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ เพราะบริหารปัญหาเรื่องคนได้ดี

หลัก ๆ คือเรื่อง "การเอาใจเขามาใส่ใจเรา" หรือ "การทำความเข้าใจคนอื่น" จากการคิดในมุมคนอื่นบ้าง ซึ่งหนังสือได้ขยายใจความเรื่องนี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวคิดนี้ และเล่าหลักการว่าองค์กรและเหล่าผู้บริหารจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงบ้าง ซึ่งเราก็ควรจะรู้และนำมาปรับใช้ให้ได้กับสถานการณ์ในปัจจุบันของแต่ละคน

ใครชอบอ่านหนังสือ howto ที่เล่าเป็นเรื่องราว มีบทสนทนาแบบเดียวกับหนังสือกล้าที่จะถูกเกลียด, คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น, และ who moved my cheese เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่พลาดไม่ได้เลยค่ะ

เขียนโดย The Arbinger Institute